พลตรี
พระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน ชูถิ่น) เป็นหนึ่งใน
คณะราษฎร ผู้ทำ
การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ
พ.ศ. 2475 จัดเป็น 1 ใน "4 ทหารเสือ" คือ นาย
ทหารบกชั้นผู้ใหญ่ ระดับเสนาธิการและคุมกำลังพล ซึ่งประกอบด้วย
พระยาพหลพลพยุหเสนา,
พระยาทรงสุรเดช,
พระยาฤทธิอัคเนย์ และพระประศาสน์พิทยายุทธ โดยพระประศาสน์พิทยายุทธ ถือเป็นทหารเสือที่อาวุโสน้อยที่สุด ด้วยวัยวุฒิ,
ยศ และ
บรรดาศักดิ์พระประศาสน์พิทยายุทธ มีชื่อเดิมว่า
วัน ชูถิ่น เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2437 ที่ข้างวัดรังษีสุทธาวาส (ต่อมารวมเป็นวัดเดียวกับ
วัดบวรนิเวศ) เป็นบุตรชายของ ขุนสุภาไชย บิดาซึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย เข้าศึกษาในโรงเรียนนายร้อยทหารบก ตั้งแต่อายุเพียง 14 ปี ในปี พ.ศ. 2451 ในช่วงปลายรัชกาลที่ 6 สำเร็จการศึกษาออกเป็นนักเรียนทำการนายร้อยในปี พ.ศ. 2454 รับเงินเดือน ๆ ละ 45 บาท ต่อมาสอบได้เป็นที่ 5 ในจำนวนนักเรียนทำการนายร้อยทั้งหมด 185 นาย ที่ทางกระทรวงกลาโหมจัดสอบเพื่อคัดเลือกตัวไปเรียนต่อที่โรงเรียนนายร้อยทหารบกที่เยอรมนี ซึ่งได้เดินทางไปเยอรมนีด้วยการโดยสารเรือพระที่นั่งจักรีตามเสด็จ
สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ซึ่งเสด็จประพาสประเทศจีนและญี่ปุ่น แล้วเดินทางผ่านญี่ปุ่นไปต่อ
ทางรถไฟสายทรานส์-ไซบีเรีย ไปยังกรุงมอสโคว์ แล้วต่อรถไฟไปยังกรุงเบอร์ลิน ใช้ระยะเวลาเดินทางหลายสัปดาห์
[1] และต่อมาได้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบกเยอรมนีแห่งนี้ เช่นเดียวกับนายทหารเสือคนอื่น ๆ ยกเว้น พระยาฤทธิอัคเนย์
[2]ในสมัย
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง พระประศาสน์พิทยายุทธขณะที่ยังมียศ
ร้อยตรี (ร.ต.) ได้เป็นหนึ่งใน 19 นายทหารระดับสูงที่ทำหน้าที่ประสานงานระหว่าง
กองทัพไทยกับ
ฝ่ายสัมพันธมิตร ที่เรียกว่า "กองทูตศึกสัมพันธมิตร" ที่นำโดย พลตรี
พระยาพิไชยชาญฤทธิ (ต่อมาคือ พลโท พระยาเทพหัสดิน)
[3]พระประศาสน์พิทยายุทธ เคยดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยทหารบก (
โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ในปัจจุบัน) ระหว่างปี
พ.ศ. 2475-
พ.ศ. 2476[4] ในเช้าวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระประศาสน์พิทยายุทธ มีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการแผนก
โรงเรียนเสนาธิการทหารบก มียศเป็น
พันโท (พ.ท.) ได้เขียนจดหมายสั่งเสียแก่ภรรยา ก่อนออกจากบ้านของตัวเองมา โดยได้ขับรถไปรับพระยาพหลพลพยุหเสนา ถึงบ้านพัก ไปยังตำบลนัดหมาย คือ บริเวณทางรถไฟสายเหนือตัดกับถนนประดิพัทธ ห่างจากบ้านพักของพระยาทรงสุรเดชราว 200 เมตร
[5]พร้อมด้วยคีมตัดเหล็กที่พระประศาสน์พิทยายุทธเป็นผู้ซื้อมาเพื่อเตรียมการตัด
โซ่ที่คล้องประตูคลังแสงอาวุธ ภายในกรมทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ (ม.1 รอ.) ที่สี่แยกเกียกกาย พร้อมด้วยพระยาทรงสุรเดช และพระยาพหลพลหยุหเสนา เพื่อหลอกเอากำลังพลทหารและยุทโธปกรณ์เข้าร่วมในการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่
ลานพระราชวังดุสิต โดยขบวนที่เดินทางไปลานพระราชวังดุสิตนั้น พระประศาสน์พิทยายุทธเป็นผู้ปิดท้าย จากนั้นได้เป็นผู้เข้าทำการควบคุมตัว
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต จาก
วังบางขุนพรหมและนายทหารคนสนิท พร้อมด้วยครอบครัว เข้ายัง
พระที่นั่งอนันตสมาคม[6] ซึ่งแผนการใน
การปฏิวัตินั้น นอกจากพระยาทรงสุรเดชจะเป็นผู้เดียวที่รับรู้แล้ว เนื่องจากเป็นผู้วางแผนทั้งหมด ก็มีเพียงพระประศาสน์พิทยายุทธ เท่านั้นที่พอทราบ เนื่องจากได้ร่วมวางแผนด้วยในบางส่วน
[7] ซึ่งก่อนหน้านี้ พระประศาสน์พิทยายุทธ ก็ได้เดินทางมายังที่กรมทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ เพื่อดูสถานที่เพื่อเตรียมการไว้ก่อนแล้ว
[8] [9]จากนั้น ได้ถูกแต่งตั้งเป็น
คณะกรรมการราษฎร ซึ่งจัดได้ว่าเป็นคณะรัฐมนตรีคณะแรกของไทย ที่มี
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา เป็น
ประธานคณะกรรมการราษฎร และได้รับแต่งตั้งเป็น เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2475
[10]ภายหลัง
เหตุการณ์เมื่อวันที่
1 เมษายน พ.ศ. 2476 ที่พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ได้ใช้อำนาจนายกรัฐมนตรีประกาศปิดรัฐสภา และงดใช้รัฐธรรมนูญบางฉบับ ก่อให้เกิดเป็นความแตกแยกกันเองในหมู่คณะราษฎร พระประศาสน์พิทยายุทธ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีที่ไม่ได้ประจำกระทรวง จนกระทั่งถึงวันที่
18 มิถุนายน ปีเดียวกัน จึงได้ลาออก พร้อมกับอีก 2 ทหารเสือ คือ พระยาทรงสุรเดช และพระยาฤทธิอัคเนย์ ซึ่งต่อกลายเป็นความบาดหมางกันเอง จนเกิดเป็นการ
รัฐประหารในวันที่ 20 มิถุนายน ปีเดียวกัน ซึ่งต่อมา ทหารเสือ 2 คนนี้ต้องเดินทางออกไปอาศัยยังต่างประเทศ
[11]ในส่วนชีวิตครอบครัว พระประศาสน์พิทยายุทธ สมรสกับ นางประศาสน์พิทยายุทธ (เนาว์ ชูถิ่น) มีบุตรสาว 2 คน
[12]หลังเหตุการณ์
กบฏพระยาทรงสุรเดช ในปี พ.ศ. 2481 พระประศาสน์พิทยายุทธ ได้ถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยประจำ
จักรวรรดิไรช์ที่สาม หรือ ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2481
[13] ใน
รัฐบาลที่มี
จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี โดยการลงเสนอของนาย
ปรีดี พนมยงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นัยว่าเพื่อให้พ้นจากภัยการเมือง จึงย้ายไปอาศัยยัง
กรุงเบอร์ลิน พร้อมด้วยครอบครัว อันเป็นถิ่นเดิมที่ทางพระประศาสน์พิทยายุทธคุ้นเคยเป็นอย่างดี ในสมัยที่ยังเป็นนักเรียนนายร้อยอยู่ ต่อมาเมื่อเกิด
สงครามโลกครั้งที่สอง ความเป็นอยู่ลำบากอย่างยิ่ง ที่แม้แต่บุตรสาวคนโตก็เสียชีวิตจากการถูกระเบิดถล่มบ้านพักที่สถานทูต จนต้องส่งภริยาและบุตรสาวที่เหลือกลับประเทศไทย จวบกระทั่งสิ้นสุดสงครามเมื่อ
กองทหารของ
สหภาพโซเวียตบุกเข้ากรุงเบอร์ลิน พระประศาสน์พิทยายุทธถูกทหารโซเวียตควบคุมตัวไปคุมขังยัง
ค่ายกักกันใกล้
กรุงมอสโก ที่มีอุณหภูมิหนาวเย็นถึง -40 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลานานถึง 225 วัน หรือ 7 เดือนครึ่ง จึงได้รับการปล่อยตัว
[14]ในช่วงก่อนที่กรุงเบอร์ลินจะแตกนั้น พระประศาสน์พิทยายุทธในฐานะเอกอัครราชทูตไทยประจำจักรวรรดิไรช์ที่สาม ได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยือน
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำของจักรวรรดิไรช์ที่สาม เป็นบุคคลสุดท้าย เมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2488 ก่อนที่ฮิตเลอร์จะทำอัตวินิบาตกรรมเพียง 10 วัน โดยได้ลงชื่อของตนในสมุดเยี่ยมของฮิตเลอร์ว่า "ประศาสน์ ชูถิ่น"
[15]เมื่อเดินทางกลับมาถึงเมืองไทยแล้ว พระประศาสน์พิทยายุทธจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นอธิบดี
กรมไปรษณีย์โทรเลขในบั้นปลายชีวิตเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2490
[16]ก่อนจะถึงแก่กรรมลงในวันที่
4 ธันวาคม พ.ศ. 2492 ด้วยโรคตับ เนื่องจากเป็นผู้ติดสุราและดื่มสุราจัด ถึงขนาดหมักผลไม้ไว้ในถังไม้ที่บ้านเพื่อผลิตสุราไว้ดื่มเอง โดยมียศสุดท้ายเป็น
พลตรี (พล.ต.) รับพระราชทานเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2486
[17]